การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม เปิดศูนย์บริการลูกค้าและศูนย์ปฏิบัติการระบบไฟฟ้า เพื่อให้บริการลูกค้าได้รับความสะดวก รวดเร็ว

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม

วันที่ 11 มกราคม 2561 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม ได้จัดพิธีเปิดศูนย์บริการลูกค้า และศูนย์ปฏิบัติการระบบไฟฟ้า ณ สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม เพื่อให้บริการลูกค้าได้รับความสะดวก รวดเร็ว สร้างความประทับใจและความพึงพอใจสูงสุด โดยมีนายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย รองผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปลัดจังหวัดนครปฐม หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารและพนักงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม

นายอุทัย ศิริไพบูลย์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีภารกิจหลักในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และให้บริการประชาชน รวม 74 จังหวัด มีลูกค้าที่ใช้บริการกว่า 20 ล้านราย โดยได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ด้านการเป็นศูนย์ราชการที่สะดวก อีกทั้งสนองนโยบายผู้ว่าการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค “มุ่งสู่ความเป็นองค์กรทันสมัย” ยกระดับการให้บริการลูกค้า อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าขัดข้องสามารถแก้ไขและจ่ายไฟคืนให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม

สำหรับการปรับปรุงภายในศูนย์บริการลูกค้า แทนศูนย์บริการลูกค้าเดิม มีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงศูนย์บริการลูกค้าให้มีความทันสมัย อาทิ เทคโนโลยีในการให้บริการที่ทันสมัย มีระยะเวลาการขอใช้ไฟฟ้าในเขตเมือง สำหรับมิเตอร์ขนาดไม่เกิน 30 แอมป์ ภายใน 24 ชั่วโมง และในปี 2560 ที่ผ่านมาการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม ได้รับโล่และตรารับรองมาตรฐานการให้บริการของศูนย์ราชการสะดวกจากรัฐบาล โดยเฉลี่ยแล้วมีลูกค้ามาใช้บริการเฉลี่ยเดือนละ 35,000 ราย ใช้งบประมาณในการปรับปรุงประมาณ 8 แสนบาท

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดนครปฐม

สำหรับศูนย์ปฏิบัติการระบบไฟฟ้า ดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ฉบับที่ 11 เป็นอาคารศูนย์สั่งการ มีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และซอฟแวร์ ที่ทันสมัย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตลอดจนมีการพัฒนาระบบนำทาง (Navigator) และระบบติดตาม (Tracking) ระหว่างพนักงานแก้กระแสไฟฟ้าขัดข้อง กับรถแก้ไขไฟฟ้าขัดข้อง ทำให้ทีมงานและรถแก้กระแสไฟฟ้าขัดข้อง ถึงจุดเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็ว เปิดใช้บริการ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง ประมาณ 3,700,000 บาท