ผู้การสุพรรณฯ นำกำลังลุยตรวจสถานบันเทิง  ป้องกันโควิดระบาด

พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์  ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สุพรรณบุรี  , พ.อ.เชาว์ ธีระชาติ  หัวหน้าฝ่ายการข่าว มทบ.17 จ.กาญจนบุรี ปฏิบัติหน้าที่ หัวหน้าชุด ชป.จว.ส.พ. (มทบ.17) ,พ.ต.อ.กฤศ  จันทร์สว่าง  ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี ฝ่ายปกครอง  กอ.รมน. และ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข  สนธิกำลังร่วมกันปล่อยแถวเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบสถานบริการและสถานประกอบการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน (โควิด-19)  บริเวณหน้า กก.สส.ภ.จว.สุพรรณบุรี โดยมีกำลังกว่า 150 นาย  แบ่งกันออกตรวจสอบสถานบันเทิงทุกแห่งเพื่อป้องกันการฝ่าฝืน และ กระทำผิด คำสั่ง จ.สุพรรณบุรี และ พรบ.ควบคุมโรคติดต่อ ในสถานการณ์โควิด-19 หลังมีการผ่อนคลายมาตรการบางอย่าง  เพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ  จึงมีการสนธิกำลังออกปฏิบัติการ

โดยได้เข้าตรวจสอบสถานบริการ ผับ  บาร์  รวมถึงสุ่มตรวจบัตรประชาชน ของนักท่องเที่ยว เพื่อป้องกัน บุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าใช้บริการ  และตักเตือนสถานประกอบการ ที่ปล่อยให้ลูกค้านั่งชิดติดกันมากเกินไป  ไม่เว้นระยะห่างตามมาตรการทางสาธารณสุข ซึ่งได้ว่ากล่าว ตักเตือนเจ้าของร้าน  พร้อมสั่งให้ปรับปรุงการจัดที่นั่งใหม่  หากตรวจสอบเจออีกครั้ง จะเสนอหน่วยงานออกคำสั่งปิดให้บริการ

ทางด้าน พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์  ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สุพรรณบุรี  กล่าวว่าในส่วนของมาตรการป้องกันโควิด-19  ในจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็น 1ใน 20 จังหวัด ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดที่ควบคุม มีการผ่อนผันมาตรการ เริ่มเปิดสถานบริการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.เป็นต้นมา ทางตำรวจ ภ.จว.สุพรรณบุรี ได้รับมอบหมายจากนายณัฐภัทร  สุวรรณประทีป  ผวจ.สุพรรณบุรี  ให้ช่วยจัดกำลังตรวจตราในพื้นที่บริการ ให้ดำเนินการตามมาตรการการป้องกัน การเว้นระยะห่างการตรวจ คัดกรองโรคก่อนเข้าไปใช้บริการ และกำชับให้ ปิดตามเวลาไม่เกิน 23:00 น รวมถึงประชาสัมพันธ์ การดื่มสุราก็ต้องปฏิบัติตามที่กำหนด และต้องห้ามใช้เหยือก แก้วหรือสิ่งของร่วมกัน รวมถึงห้ามเต้นรำด้วย “การสนธิกำลังบูรณาการออกร่วมทำงานในครั้งนี้ เราจะดูเรื่องการตักเตือนและดูภาพรวมให้ทุกคนอยู่ในระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  ถ้าฝ่าฝืนทำผิดกฎหมาย ก็ต้องจับกุมดำเนินคดี แต่ถ้าเป็นความผิดเกี่ยวกับเรื่องมาตรการที่ยังไม่เคร่งครัด เช่นการตรวจโรคหรือการเว้นระยะห่างไม่เพียงพอ  การไม่สวมใส่หน้ากากอยามัยในที่สาธารณะ  ก็คงตักเตือน  แล้วถ้าเตือนแล้วไม่เชื่อฟังก็คงทำเรื่องเสนอเพื่อปิดสถานบริการดังกล่าวต่อไป”