ธรรมะในคุก เพื่อชีวิตเมื่อพ้นประตูคุก #หลวงพี่น้ำฝน

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ขึ้นชื่อว่าเรือนจำนั้น ถ้าไม่ใช่ผู้คุม พัศดี ก็คงมีน้อยคนนักที่อยากจะเข้าไป เพราะว่าเรือนจำเป็นสถานที่คุมขังนักโทษผู้กระทำความผิด ต่อเมื่อกระทำความผิดแล้วจึงได้เข้าไป ยากจะมีใครสมัครใจเข้าไป

แม้ว่าจะเป็นสถานที่สำหรับการลงโทษผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย แต่ว่าเรือนจำสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยโบราณ ที่ว่ามีโซ่ล่าม จำตรวนนี่ ถ้าไม่ทำผิดกฎร้ายแรงจริง ก็จะไม่ทำ ยิ่งใส่ขื่อคา จับมาโบยตีรายวันนี่ลืมไปได้เลย เดี๋ยวนี้มีแต่ในละครย้อนยุคเท่านั้นแหละ

สมัยนี้ทางการถือหลักว่า เรือนจำเป็นสถานที่บำบัดแก้ไขฟื้นฟูบุคคลที่ต้องโทษ ให้นำคนดีกลับคืนสู่สังคม ไม่ได้เป็นสถานที่ลงโทษให้สาสมแก่ความผิด ฉะนั้น แน่นอนว่าความเป็นอยู่ในรั้วเรือนจำอาจไม่ใช่ของสบายนัก มีกฎระเบียบมากมายซึ่งบังคับใช้แก่คนหมู่มากหลากที่มา แต่ก็จะเน้นปลูกฝังระเบียบวินัย เน้นการฝึกอาชีพ ฝึกทักษะต่าง เพื่อที่ว่าสุดท้ายแล้วเมื่ออกไปสู่โลกภายนอกก็จะลดการกระทำความผิดซ้ำ จากที่เคยลักเล็กขโมยน้อยหรือชิงทรัพย์ หรือเลี้ยงชีพด้วยการค้ายาเสพติด ก็รู้จักทำมาหากินสุจริต จากที่เคยมีน้ำจิตน้ำใจหยาบกระด้างมาก่อน ก็อาจจะสุขุมมากขึ้น ถือว่ามนุษย์เราสามารถกลับตัวกลับใจได้ มิใช่คนชั่วไปตลอด วันหนึ่งเราอาจจะมีอะไรมาบังตา บังจิตของเราให้อยู่ในความไม่ดี แต่เมื่อเราสลัดมันออกไปแล้ว เราเปลี่ยนแปลงตนเองได้

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา อาตมานี่แหละ สมัครใจเดินเข้าคุก เนื่องด้วยรับคำนิมนต์จากเรือนจำกลางนครปฐม กรมราชทัณฑ์ ให้ไปบรรยายธรรมแก่ผู้ต้องขังหญิงในหัวข้อปรับวิธีคิด คิดกลับใจ เพื่อกลับคืนสู่สังคมในวันนั้นมีโยมอีกสองคนซึ่งหลายคนก็น่าจะรู้จักดี คือ แอล โอรส และโค้ก ซีโร่ อดีตคนคุกผู้กลับมายืนในสังคมได้อีกครั้งมาร่วมกิจกรรมด้วย อาตมาก็ยินดีที่จะไป เพราะก็เป็นเรื่องที่อาตมาอยากทำอยู่แล้ว คือการใช้ธรรมะสร้างคน โดยเฉพาะกับคนที่ชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปมักมีทัศนคติที่ไม่ดีอย่างคนคุก คือผู้ต้องขังในเรือนจำ อาตมาก็อยากจะปลุกใจให้พวกเขานั้นปรับวิธีคิด คิดกลับใจเมื่อออกสู่โลกภายนอก เพื่อที่จะไม่ต้องกลับมายังคุกอีก ให้เห็นคุณค่าในตนเอง เห็นศักยภาพของตนเองที่จะทำดี ละเว้นความชั่ว ไม่จมอยู่กับอดีตที่ผิดพลาดอีก

ที่อาตมาได้เชิญ แอล โอรส และโค้ก ซีโร่ สองอินฟลูเอนเซอร์ ชื่อดังที่มาร่วมบรรยายให้กับผู้ต้องขังหญิงได้รับฟังนั้น เพราะทั้ง 2 คนนั้นเคยหลงผิดและเคยมีชีวิตอยู่ในกำแพงสูงที่ถูกจำกัดอิสรภาพ แต่ด้วยการมีสติและมีวิธีคิดที่แตกต่างจากเดิมจึงได้เริ่มต้นชีวิตใหม่และวางตัวให้อยู่ในความเหมาะสมประกอบกับความตั้งใจมีเป้าหมายในชีวิต ทำให้วันนี้นอกจากจะมีชื่อเสียงในโลกออนไลน์แล้วยังมีประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและครอบครัว ถือว่าเป็นต้นแบบให้กับผู้ที่ยังถูกจองจำ ประสบการณ์จากคนที่เคยมีประสบการณ์เดียวกันจะทำให้ผู้ต้องขังนั้นเปิดใจรับฟัง ซึ่งการเปิดในนั้นถือว่าเป็นก้าวแรกที่ยากแต่หากเราเข้าถึงใจของเขาได้แล้วเขาจะยอมรับและน้อมนำเอาหลักธรรมไปชโลมจิตใจได้ และหลักพระธรรมคำสั่งสอน คือยาที่จะบรรเทาทุกข์ให้เขาเหล่านั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่คณะสงฆ์จะพึงทำที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่เยียวยาและพัฒนาความคิดของเขาที่หลงผิดให้กลับมามีวิธีคิดตามครรลองที่ควรจะเป็น

และสิ่งที่อาตมาเน้นย้ำที่สุด ฝากไว้กับทุกคน ทุกครั้ง จะตั้งต้นชีวิตใหม่ อย่าลืมศีลห้า

ศีลห้า หรือบางคนบางท่านเรียกว่า นิจศีล เพราะเป็นศีลที่ทุกผู้ทุกคนควรจะปฏิบัติให้ได้อยู่เสมอเป็นปกติ อาตมาเชื่อว่าเราทุกคนคุ้นเคยกับศีลห้า เพราะท่องกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ถามว่าศีลห้านี้สำคัญอย่างไร ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร ทำไมต้องถือศีล หลายคนก็อาจจะยังมองไม่เห็นภาพชัดเจนนัก วันนี้อาตมาจะทำให้เห็นภาพชัดเจน

ศีลห้า ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เอาของที่ผู้อื่นมิได้ให้ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ส่อเสียด และไม่ดื่มสุราของมึนเมา ทั้งห้าข้อนี้ บางข้อหลายคนก็เข้าใจดีว่าทำไมไม่พึงกระทำ แต่ว่าบางข้ออาจสงสัยทำไมท่านถึงห้าม

ขอให้ลองคิดดูว่า ความวุ่นวายต่าง รอบตัว มันเกิดมาจากการละเมิดศีลห้าใช่ไหมไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่งแหละหรือว่ามากกว่าหนึ่ง

ถ้าเราคิดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ประจำ ไม่ต้องถึงขั้นไปฆ่าใครเขาตายหรอก แค่นี้มันก็จะติดเป็นนิสัย เป็นอนุสัยให้ไร้ความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิต เมื่อเราขาดเมตตากรุณาแล้วก็เหมือนดินที่แห้งแล้ง ขาดความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ จะเพาะพันธุ์ปัญญาลงในดินมันก็ไม่ขึ้น เมล็ดพืชก็ตายในดินนั่นแหละ

เราลักทรัพย์ โกงทรัพย์ คนที่ถูกกระทำเขาก็แค้น เขาก็เดือดร้อน มันก็ย้อนมาหาเรา ทำไปบ่อย จากขโมยดินสอยางลบเพื่อน จนติดเป็นนิสัย ก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวเอาแต่ประโยชน์เข้าตนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น

เราประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมียเขา อันนี้ถึงกับชักปืนมายิงกันได้ง่าย ไอ้เรื่องแบบนี้เจอบ่อยนัก

เราพูดเท็จ เอาล่ะแม้ในชีวิตจริง จะมีใครเถียงว่าเราอาจจะต้องพูดเท็จบางอย่างเพื่อให้สถานการณ์บางอย่างคลี่คลาย แต่มันก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะเป็นเช่นนั้น และศีลข้อนี้ไม่ได้กล่าวแค่การพูดเท็จอย่างเดียว ยังมีเรื่องการพูดจาส่อเสียด ยุแยงตะแคงรั่ว กล่าวร้ายว่าร้ายผู้อื่นให้เกิดความเสียหาย เจ็บช้ำน้ำใจ อันนี้แหละตัวดี ก่อให้เกิดเรื่องเกิดราวได้กับไอ้สิ่งที่เรียกว่า น้ำผึ้งหยดเดียว

เราดื่มเหล้าเมาสุรา ในชีวิตจริงของผู้คน สุรา เบียร์ เป็นเรื่องปกติ แต่เราทั้งหลายก็อย่าได้ลืมว่า สุราคือประตูสู่หายนะ เพราะมันคือน้ำเปลี่ยนนิสัย อีโก้มันลดลงด้วยน้ำเมาเล่าอะไรคุยอะไรก็สนุกหรรษาไปหมด แต่ว่ามันดึงเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และสติสัมปชัญญะลงมาด้วย มันไม่ได้ลดแค่อีโก้อย่างเดียว พอสติหาย ความประมาทมาแทนที่ เดือดร้อนแน่นอน ก็กลายเป็นว่าพูดไม่คิด ทำไม่คิด เป็นบ่อเกิดให้ผิดศีลข้ออื่น บางคนดื่มมาก เป็นพิษสุราเรื้อรัง เป็นตับแข็งก็มีเหมือนกัน

จะเห็นได้ว่า ห้าข้อนี้ หากละเมิดแล้ว เป็นอันต้องมีเรื่องเดือดร้อนตามมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน ศีลห้าจึงเป็นสิ่งที่คอยปกป้องเราให้พ้นจากความเสื่อมทั้งหลาย ดังนั้นเมื่อเรารักษาศีลแล้ว ศีลก็จะรักษาเราเป็นที่แน่นอน

เมื่อรักษาศีลห้าได้เป็นปกติแล้ว ก็จะสามารถรักษาศีลในระดับที่สูงขึ้นไปกว่านี้ได้อย่างไม่ยากนัก ศีลห้าจึงเป็นพื้นฐานของทุกศีล เป็นสิ่งที่ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนควรมีในใจเสมอมา ขอเจริญพร